"การเขียน" วัฒนธรรมหนึ่งที่ทุกองค์กรต้องมี
ผมเชื่ออย่างมากเลยว่า “การเขียน” นี่แหละ จะเป็นสิ่งที่บอกความแตกต่างระหว่างองค์กร แม้กระทั่งความแตกต่างระหว่างคนทำงานด้วยกันเอง
โดยส่วนตัวผมค่อนข้างอินกับแนวคิดของ 37signals อยู่แล้ว และยิ่งเป็นเรื่องการเขียนด้วยก็ยิ่งตอกย้ำความเชื่อของผมเข้าไปใหญ่ ใครสนใจลองอ่านเรื่อง The Importance of Writing Skills ที่ Jason Fried ให้สัมภาษณ์ไว้ดู
การเขียนให้อะไรกับเราในหลาย ๆ อย่างเลย เช่น
เรื่องการใช้เวลาได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะเราไม่ต้องพูดซ้ำหลายหรอก หรือพยายามที่จะเปลี่ยนคำพูดเพื่อสื่อสารออกไป ทุกอย่างจะชัดเจนในการเขียน (แน่นอนว่าเราต้องมีทักษะในการเขียนด้วยนะ)
เรื่องการทำ knowledge sharing ซึ่งผมคิดว่ายังไม่มีสิ่งไหนที่ดี และยืนยาวเท่าการเขียนอีกแล้ว
เรื่องการสื่อสาร ก็เช่นกัน การเขียนช่วยให้เราเคลียร์ความคิดของเรา เรียบเรียงความคิดของเราออกมาเพื่อสื่อสารออกไป ดังนั้นมันจะชัดเจนกว่าการพูดแน่นอน
Writing forces you to structure your thoughts in a manner just not possible when you verbalize it. When I write, I have to offer structured, precise thoughts.
อ้างอิงจากบทความ How Stripe Built a Writing Culture ซึ่งในบทความก็อ้างอิงถึงวัฒนธรรมการเขียนที่ Amazon ด้วยเช่นเดียวกัน ตามไปอ่านได้ที่ How Jeff Bezos Turned Narrative into Amazon’s Competitive Advantage
เวลาที่เรามีไอเดียใหม่ ๆ ด้วยนะ แทนที่เราจะเรียกประชุม เราลองเขียนออกมาดู
อย่างไรก็ดี ถ้าเรามองในมุมที่องค์กรจะได้ประโยชน์แบบเห็นได้ชัดมาก ๆ คือ “ลดการประชุม” ที่ไม่จำเป็นออกไปได้ และพนักงานทุกคนจะเลิกบ่นว่า JUST LET ME DO MY JOB! ลองดูสัก 1 เดือนก็ได้นะครับ แล้วจะเห็นว่างานคืบหน้าไปขนาดไหน 😊
เรามาสร้างวัฒนธรรม “การเขียน” นี้ให้เกิดขึ้นในองค์กรกัน มีแต่ผลดีทั้งต่อองค์กร พนักงานในองค์กร อีกทียังรวมไปถึงคนที่จะเข้ามาร่วมทำงานในองค์กรด้วยนะ
…
สุดท้ายแล้ว … มีอีกอย่างหนึ่งที่อาจจะลืมนึกกันไป ก็คือการเขียนยังสามารถที่จะคงไว้ซึ่งประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติด้วยนะเออ 😂 ถ้าใครมีโอกาสได้ดูหนังเรื่อง The Last Kingdom ทาง Netflix น่าจะได้ยิน King Alfred พูดว่า
Do not underestimate the power of the written word. When a man dies, if nothing is written, he is soon forgotten.
เป็นคำพูดที่ King Alfred พูดกับ Uhtred (พระเอกของเรื่อง) และเหมือนกับ King Alfred จะบอกไปด้วยว่าเค้าจงใจจะไม่เขียนเรื่องของ Uhtred ลงไป ซึ่งทำให้ Uhtred หายออกไปจากประวัติศาสตร์ทันที จนต้องมีคนมาค้นประวัติศาสตร์ และทำหนังเรื่องนี้ขึ้นมา พวกเราถึงได้รู้จักกับคน ๆ นี้